วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กระเบื้องยางพารา'ทางเลือกแห่งอนาคต

กระเบื้องยางพารา'ทางเลือกแห่งอนาคต

ทำมาหากิน : 'กระเบื้องยางพารา' เบา-ทนทาน นวัตกรรมทางเลือกแห่งอนาคต : โดย...ดลมนัส กาเจ

 
                           กว่า 30 ปี ที่มีการหยิบยกประเด็นการแปรรูปยางพารา ทำเป็นผลิตภัณฑ์ให้มากที่สุด เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยาง และแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำภายใน มาถึงวันนี้การแปรรูยางพาราระดับอุตสาหกรรม ประมาณการเพียงร้อยละ 12-14 จากผลผลิตทั้งหมดเกือบ 4 ล้านตัน ทั้งที่ความเป็นจริงสามารถแปรรูปได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นพื้นถนน สนามเด็กเล่น แม้กระทั่งกระเบื้องมุงหลังคาที่วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี สามารถนำยางพาราเป็นวัตถุดิบแปรรูปทำเป็นกระเบื้องมุงหลังคาทั้งรูปแบบ ธรรมดาทั่วไปและเป็นกระเบื้องซีแพคโมเนีย ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ น้ำหนักเบา ทนทานต่อแรงกระแทก และกันความร้อนได้ดีด้วย
 
                           สายฝน แก้วสม หัวหน้าประจำแผนกเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี บอกว่า เมื่อช่วง 7 ปีที่แล้ว ราคายางพาราตกต่ำมากอยู่ที่ราว กิโลกรัมละ 30 บาท วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี มีแผนกเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ จึงช่วยกันคิดเพื่อหาแนวทางในการแปรรูปยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์อะไรได้บ้าง ที่นอกเหนือไปจากยางรถยนต์ จากนั้นก็ได้ข้อสรุปที่จะแปรรูปยางธรรมชาติหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตายาง รองเท้า ท่อน้ำ บล็อกแม่พิมพ์ เป็นต้น ตอนหลังมาแปรรูปทำเป็นกระเบื้องมุงหลังคามี 2 แบบ ขนาดมาตรฐานทั่วไป คือกระเบื้องแผ่นธรรมดาทั่วไป และกระเบื้องซีแพคโมเนีย โดยใช้ยางพารารมควันชั้น 3 เป็นวัตถุดิบในอัตราส่วนผสมร้อยละ 50-70 ที่เหลือผสมกับสารลดต้นทุนในอุณหภูมิที่ 150 องศาเซลเซียส แต่การที่จะใช้ส่วนผสมของยางพารามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณภาพที่ต้องการ หากต้องการให้คุณภาพสูงต้องใช้ยางพาราเพิ่มมากขึ้น 
 
                           "เท่าที่ทดสอบ เรามั่นใจว่าคุณภาพดีว่ากระเบื้องทั่วไป ทนทานต่อแรงกระแทก หากปลิวหรือตกก็ไม่แตก น้ำหนักเบา อายุใช้งานนาน ที่สำคัญยางพาราเป็นวัสดุสกัดความร้อนได้ดี ฉะนั้นกระเบื้องจากยางพาราเวลามุงหลังคาแล้วจะไม่ร้อน เพราะมีฉนวนกันความร้อน ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการจวิจัย หรือ สกว.ให้งบประมาณสนับสนุนในการพัฒนาวิจัยฉนวนกันความร้อนด้วย ส่วนราคาขึ้นอยู่กับราคายางพารา อย่างปัจจุบันกระเบื้องซีแพคโมเนียจากยางพาราจะอยู่ที่แผ่นละ 100-120 บาท กระเบื้องแผ่นธรรมดา ราคาราว 80 บาท" สายฝน กล่าว      
 
                           นุชจรี สุกใส อาจารย์ประจำแผนกเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี หนึ่งในทีมอาจารย์ที่ปรึกษาที่สอนด้านเทคโนโลยียางที่ผลิตกระเบื้องยางพารา บอกว่า การแปรรูปยางพาราทำเป็นกระเบื้องเป็นแนวคิดของอาจารย์สายฝน กับหัวหน้าแผนกเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์คนเก่า เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ หลังจากที่ได้ความคิดแล้วเริ่มสร้างโรงงานเพื่อถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งทฤษฎี และปฏิบัติให้แก่นักษา เพื่อจะได้นำความรู้ไปต่อยอดในอนาคต
 
                           "ตอนนี้ยังไม่มีภาคเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐนำเทคโนโลยีตัวนี้ไปต่อยอดเพื่อเป็นสินค้า และนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม เพียงแต่ยังเป็นในลักษณะการเรียนการสอนเท่านั้น หากเอกชนหรือหน่วยงานใดสนใจที่จะนำไปต่อยอด เรายินได้ที่จะถ่ายทอดความรู้ให้ ไม่คิดที่จะขายเทคโนโลยีตัวนี้ เพราะเราเป็นสถาบันการศึกษา แต่เราพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ เพราะเรามีโรงงานสำหรับผลิตกระเบื้องจากยางพาราอยู่แล้ว" นุชจรี กล่าว 
 
                           การแปรรูปยางพาราเป็นกระเบื้องมุงหลังคาบ้านนับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่า สนใจ และสามารถที่จะนำเทคโนโลยีตัวนี้มาต่อยอด เพื่อผลิตกระเบื้องมุงหลังในเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต ซึ่งนอกเสียจากจะได้กระเบื้องที่มีความคงทนต่อแรงกระแทก และสามารถกันความร้อนได้แล้ว ก็ยังเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะได้นำยางพารามาแปรรูปมาใช้ภายในประเทศให้มาก ที่สุด ถือเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำในระยะนี้ได้อีกด้วย
 
                           สนใจเรียนรู้เทคนิคการผลิตกระเบื้องจากยางพาราสอบถามได้ที่ อ.สายฝน แก้วสม โทร.0-7427-2168     

ปัญหาและแนวทางการพัฒนายางพาราไทย

 

 

1. สภาพปัญหา

                 สินค้าเกษตรมีลักษณะธรรมชาติพื้นฐานเหมือนกัน คือ มีฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผลผลิตจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน รวมทั้งมีระยะเวลาในการผลิต และลักษณะการถือครองที่ดินซึ่งส่วนมากเป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้สินค้าเกษตรมีลักษณะข้อจำกัดพื้นฐานซึ่งคล้ายกัน ได้แก่
           1) การวางแผนด้านตลาดมีข้อจำกัด เนื่องจากการผลิตสินค้าเกษตรต้องใช้ระยะเวลา ขณะที่ความต้องการหรือสถานการณ์ด้านตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และรวดเร็วกว่า
                 2) ผลิตผลทางการเกษตรมีอำนาจต่อรองด้านราคาต่ำ ด้วยสินค้าเกษตรแต่ละชนิด มีช่วงเวลาที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกัน และส่วนใหญ่เก็บไว้ได้ไม่นาน เป็นช่องทางให้อำนาจต่อรองด้านราคาลดน้อยลง
                3)   การวางแผนกำหนดพื้นที่โดยรวมของประเทศเพื่อควบคุมปริมาณผลผลิตเป็นไปได้ยาก เนื่องจากลักษณะการถือครองที่ดินของเกษตรกรซึ่งส่วนมากเป็นสวนยางขนาดเล็ก และมีอิสระในการใช้ประโยชน์จากการถือครองที่ดินการพัฒนายางพาราที่ผ่านมารัฐ ส่งเสริมให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตโดยรวม เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลก แต่อย่างไรก็ตาม การทำสวนยางพาราและอุตสาหกรรมยางพาราต้องประสบกับปัญหาด้านต่างๆ ได้แก่ 
               1.1 ปัญหาด้านการผลิต
                      การผลิตยางของเกษตรกรไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด การทำสวนยางพาราที่ผ่านมารัฐส่งเสริมให้เกษตรกรทำการผลิตเป็นวัตถุดิบเพื่อ ป้อนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น และยางที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เป็นยางแผ่นดิบ ขณะที่การขยายตัวของอุตสาหกรรมยางแผ่นดิบลดลง
ประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งผลผลิตด้อยคุณภาพ เนื่องจากชาวสวนยางพาราส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้ขาดการบริหารจัดการและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการ ส่งผลให้ผลผลิตยางมีคุณภาพต่ำและไม่สม่ำเสมอ
                1.2 ปัญหาด้านตลาด
                      1.2.1  ตลาดภายในประเทศ
                               1.ตลาด ท้องถิ่นมีผู้ขายเป็นเกษตรกรจำนวนมาก ขณะที่ผู้ซื้อคือ พ่อค้าคนกลางมีจำนวนน้อยรายและมีหลายขั้นตอน ส่งผลให้ราคาที่เกษตรกรขายได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
                               2.ตลาด กลางยางพาราของไทย ที่ อ.หาดใหญ่เป็นเพียงตลาดซื้อขายยางแผ่นดิบโดยวิธีประมูล และห้องค้ายางซึ่งมีการซื้อขายยางเฉพาะสมาชิกของและเจ้าของสวนยางรายใหญ่ เท่านั้น เนื่องจากมียางจำนวนมากและมีรถบรรทุกเป็นของตนเอง ตลาดกลางยางพาราจึงไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่และไม่เป็นระบบที่เชื่อมโยงกับตลาด กลางในแต่ละจังหวัด
                               3.ขาดระบบข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตลาดกลาง ตลาดท้องถิ่นและตลาดประมูลท้องถิ่น ทำให้เกษตรไม่ได้รับข้อมูลด้านราคาและสถานการณ์ซื้อขาย จึงถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง
1.2.2 ตลาดต่างประเทศ
                             1.เป็นตลาดของผู้ซื้อ เนื่องจากปัจจุบันตลาดต่างประเทศ การซื้อขายส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นการซื้อขายตรง โดยประเทศรับซื้อมีเพียง 4 – 5 ประเทศ ส่งผลให้ประเทศผู้ซื้อมีบทบาทในการกำหนดราคายางไทย
                             2.การส่งออกยางพาราไปต่างประเทศ มียางพาราจำนวนหนึ่งส่งออกผ่านท่าเรือกรุงเทพฯ ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง
   1.3 ปัญหาด้านอุตสาหกรรม
                    1) อุตสาหกรรมยางพาราของไทยเติบโตเฉพาะในรูปวัตถุดิบขั้นต้นเพื่อการส่งออก เนื่องจากผลผลิตยางธรรมชาติที่ผ่านมา เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณร้อยละ 90 ที่เหลือร้อยละ 10 ใช้ภายในประเทศ และผลผลิตส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 เป็นยางแผ่นรมควัน ขณะที่การใช้ยางแผ่นรมควันของโลกเริ่มอิ่มตัวและลดลง
                     2)  การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งส่วนมาก เป็นการลงทุนร่วมระหว่างประเทศ สวนทางกับการเจริญเติบโตของเกษตรกรและองค์กรชาวสวนยาง ที่จะนำไปสู่การพัฒนาในรูปอุตสาหกรรมชุมชน
                     3)  เทคโนโลยีส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขณะที่งาน วิจัย ส่งเสริมและพัฒนาของภาครัฐ ยังขาดการประสานให้ไปในทิศทางเดียวกัน

 

2. แนวทางการพัฒนายางพาราไทย

                 การที่สินค้าเกษตรมีข้อจำกัดเป็นลักษณะเฉพาะที่สำคัญคล้ายๆ กัน ทำให้การใช้นโยบายของรัฐที่ผ่านมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรหรือคนจนไม่มี ประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะผลของนโยบายมักจะตกแก่ผู้ทำธุรกิจทางการเกษตรและเกษตรกรผู้มีฐานะดี กว่า
                 ดังนั้นการแก้ไขปัญหาต้องเน้นกระบวนการพัฒนาที่ก่อให้เกิดความมั่นคงและพึ่งตนเองได้แก่ เกษตรกร ซึ่งต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม  ในรูปแบบการเกษตรที่มีความหลากหลาย รวมถึงการให้ประชาชนและชุมชนมีบทบาทในด้านการตลาดและอุตสาหกรรม ควบคู่กับการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยี การผลิต การแปรรูป ปัจจัยการผลิต ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ  และการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรที่มีข้อมูลเชื่อมโยงเป็นระบบเครือข่าย
                 มาตรการในการแก้ไขปัญหายางพารา จึงต้องพิจารณาถึงกลุ่มกิจกรรมหลักที่สำคัญ   คือ กลุ่มผลิตหรือกลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้แปรรูปหรืออุตสาหกรรม โดยมีมาตรการที่สำคัญ ดังนี้
                 2.1 มาตรการด้านการผลิต
                       2.1.1 ส่งเสริมให้ชาวสวนยางรายย่อยปรับเปลี่ยนสวนยางพารา ที่พึ่งพาพืชเศรษฐกิจชนิดเดียวไปสู่ระบบการเกษตรกรรมที่หลากหลายทางชีวภาพ และพันธุกรรมพืชในรูปแบบที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์โดยธรรมชาติ ซึ่งจะลดต้นทุนในด้านการบำรุงรักษา ลดความเสี่ยงจากผลผลิตชนิดเดียว แต่กลับเพิ่มพูนอาหารเพื่อการบริโภคในครัวเรือนและท้องถิ่นที่เน้นความ สมบูรณ์ในตัวเองโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพและ ยั่งยืน โดยมีรูปแบบต่างๆ ได้แก่
                              1) ระบบเกษตรผสมผสาน เป็นรูปแบบของการทำการเกษตร ซึ่งมีหลาย ๆ กิจกรรมในพื้นที่เดียวกัน แต่ละกิจกรรมมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในลักษณะเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่าง เป็นระบบ โดยไม่เกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งอาจจะเป็นการผสมผสานระหว่างพืชกับพืช พืชกับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์ เกษตรกรจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจและการวางแผนที่ดี จึงประสบความสำเร็จ
                              2) ระบบการปลูกพืชต่างระดับ  เป็นรูปแบบการปลูกพืชที่เลียนแบบความหลากหลายของพืชพรรณในป่า มีการปลูกพืชร่วมกันอย่างผสมผสานกลมกลืนตามระดับความสูงของเรือนยอด ซึ่งสัมพันธ์กับความต้องการความเข้มของแสงที่แตกต่างกันในพืชแต่ละชนิด นอกจากนั้นการปลูกพืชต่างระดับ ยังพิจารณาถึงระดับความลึกของรากพืชแต่ละชนิดที่นำมาปลูกร่วมกัน สามารถดึงเอาธาตุอาหารและความชื้นของดินในความลึกของดินที่ระดับต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในระบบการปลูกพืชอย่างมีประสิทธิภาพ
                       2.1.2 ส่งเสริมให้ชาวสวนยางขนาดกลางและขนาดใหญ่การปลูกพืชร่วมยางและยางพาราเชิงเดี่ยว  เป็นการปรับแบ่งพื้นที่เพื่อการปลูกยางพารา ไม้ผล พืชผักที่เป็นอาหารและสมุนไพร โดยจัดแบ่งเป็นเขตต่างๆ ได้แก่ เขตพื้นที่ปลูกยางพาราร่วมกับไม้ผล ไม้ใช้สอยและพืชผักสมุนไพร และเขตที่มียางพาราอย่างเดียว เพื่อคงไว้ซึ่งผลผลิตและไม้ยางพารา
                               พืชร่วมยางที่มีความเป็นไปได้ในภาคใต้มี 5 ประเภท ได้แก่
                               1.ไม้ผล มี สะตอ จำปาดะ ละไม ลองกอง ระกำ หมาก มังคุด ลางสาด สละและนุ่น
                               2.ไม้ใช้สอย มี เทียม (สะเดาช้าง) ทัง ไม้ไผ่ ยาง ยูง หลุมพอ พะยอมตะเคียน
                               3.ผักพื้นบ้าน มี เหมียงหรือผักเหรียง ผักวาน มันปู ผักภูมิ เปราะ พาโหมเนียง
                               4.สมุนไพร มี กระวาน ดีปลี ข่า พริกไทย ขมิ้นฤาษี สมุนไพรยืนต้นทุกชนิด
                               5.ไม้ดอกไม้ประดับ มีกาหลาหรือดาหลา หน้าวัว ขิงแดง กล้วยไม้ เฟิร์น หม้อข้าวหม้อแกงลิง
                      2.1.3  ถ่ายทอดเทคโนโลยีและสนับสนุนปัจจัยการผลิต  เป็นการ พัฒนาเฉพาะด้านยางพารา  โดยดำเนินการค้นคว้าวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งพันธุ์ที่ดี เทคโนโลยีที่เหมาะสมทั้งทางด้านการเพาะปลูกและวิธีการเก็บเกี่ยว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลผลิต และการปรับเปลี่ยนบทบาทสำนักงานสงเคราะห์การทำสวนยาง เป็นการส่งเสริมสนับสนุนการทำเกษตรแบบผสมผสาน รวมทั้งมีการจัดเตรียมพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ ที่เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญเบื้องต้นแก่เกษตรกร
                      2.1.4 สนับสนุนให้ชาวสวนยาง  และองค์กรชาวสวนยางรวมกลุ่ม และสร้างเครือข่ายพลังความคิด เพื่อกำหนดบทบาทในการบริหารจัดการ ในกิจกรรมการผลิตที่สำคัญ อาทิ การปรับพื้นที่เพื่อการผลิต รูปแบบการผลิต และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
                 2.2 มาตรการด้านตลาด
                       2.2.1 พัฒนาตลาดกลางยางพาราเพื่อการส่งออก  จัด ตั้งและพัฒนาตลาดกลางในแหล่งที่สำคัญให้ทั่วถึง เพื่อเป็นตัวกลางในการซื้อขายในปัจจุบันและการซื้อขายล่วงหน้า มีกฎระเบียบควบคุมการซื้อขาย ป้องกันการผูกขาดตัดตอน อาทิ การเปิดกว้างให้เกษตรกรขายผลผลิตซึ่งเป็นการประมูลโดยตรงกับผู้รับซื้อ ขณะที่ตลาดกลางให้บริการด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
                      2.2.2 การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร ตลาดกลางนอกจากจะมีหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายแล้ว ยังทำหน้าที่บริการข้อมูลด้านต่าง ๆ แก่ลูกค้า อาทิ ข้อมูลด้านราคา และข้อมูลสถานการณ์ซื้อขายที่ถูกต้องและทันสมัย ซึ่งเป็นระบบข้อมูลที่มีความเชื่อมโยงระหว่างตลาดกลางและตลาดท้องถิ่น
                      2.2.3 พัฒนาตลาดท้องถิ่น  มีการขยายตลาดท้องถิ่นให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ มีระบบการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารกับตลาดกลาง และมีกฎระเบียบควบคุมการซื้อขายที่เปิดกว้างเป็นธรรมทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
                 2.3 มาตรการด้านอุตสาหกรรม
                       2.3.1 สนับสนุนให้อุตสาหกรรมยางพาราเป็นของชุมชน   กระบวนการเริ่มต้นด้วยการให้ชาวสวนยาง และองค์กรชาวสวนยางรวมกลุ่ม และสร้างเครือข่ายเพื่อดำเนินการในด้านการผลิต แปรรูป และการตลาด ซึ่งจะเป็นการรักษาผลประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มของผลผลิตให้ตกอยู่กับเกษตรกร
                       2.3.2 ภาครัฐให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการแปรรูป ทั้งผลิตภัณฑ์จากน้ำยางและไม้ยางพารา พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบและคุณภาพตรงกับความต้องการทั้งตลาดภายในและต่าง ประเทศ ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ยางพาราจากต่างประเทศ และส่งเสริมการส่งออก รวมทั้งการให้มูลข่าวสารช่องทางการตลาด การลงทุน และการติดต่อเพื่อเร่งหาตลาดใหม่ในต่างประเทศ

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การเลือกใช้พันธุ์ยาง



การเลือกใช้พันธุ์ยาง
              เห็นเพื่อนๆชาวเกษตรกรหลายคนถามกันมาว่าจะเลือกพันธุ์ยางแบบไหนดี หรืออยากรู้วิธีเลือกพันธุ์ยางพาราด้วย เอาเป็นว่าวันนี้เอามาฝากกันแบบเต็มละกันนะครับวันนี้ พื้นฐานง่ายๆในการเลือกพันธุ์ยาง ส่วนมากก็เลือกจากพันธุ์ที่มีน้ำยางมาก หรือพันธุ์ที่มีเนื้อไม้ดีแต่ถ้าจะให้ผมแนะนำก็เลือกพันธุ์ที่ปลูกแล้วได้กำไรดี ผลตอบแทนสูง ลงทุนน้อย “ว่าแต่มันพันธุ์ไหนกันละครับ” ไปดูกันเลยครับ


สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนจะเลือกพันธ์ยางพารา
         1. พิจารณาว่าพื้นที่ปลูก  แม้ว่าเราจะเลือกพันธุ์ยางที่ดีเพียงไหน หากว่าสภาพอากาศ สภาพดินไม่เหมาะสม ก็เป็นการยากที่จะได้ผลผลิตอย่างเต็มที่ครับ และนี่คือสภาพพื้นที่ที่ผมไม่แนะนำให้ปลูกยางพาราครับ
1.1 พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคใดรุนแรง เพราะยางพาราจัดว่าเป็นพื้ชที่ไม่ได้ทนต่อโรคมากนัก หากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรครุนแรง รับรองว่ายางพาราก็ไม่รอดเหมืนกันครับ
1.2 พื้นที่ที่มีลมแรง หรือพื้นที่มีความลาดชันสูง หน้าดินตื้น  เพราะต้นยางพาราเป็นพืชที่โค่นล้ม หักได้ง่าย หาพื้นที่ที่ปลูกมีลมแรง รับรองครับว่า หักโค่นกันเป็นแถบ
         2. พิจารณาลักษณะประจำพันธุ์แต่ละพันธุ์ จากเอกสารคำแนะนำพันธุ์ยางของสถาบันวิจัยยาง เลือกพันธุ์ยางพาราที่เหมากับสภาพอากาศ
         3. ลำดับที่ของพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง จากเอกสารคำแนะนำพันธุ์ยาง อันนี้ต้องดูข้อหนึ่งกับข้อสองด้วยนะครับ เพราะบางครั้งเลือกพันธ์ยางที่ให้น้ำยางสูง แต่ว่าไม่เหมาะกับสภาพของพื้นที่

พันธุ์ยางที่แนะนำให้ปลูก 
         สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ได้จัดทำคำแนะนำพันธุ์ยางแก่เกษตรกรทุก ๆ 4 ปี โดยใช้ ข้อมูลจากผลงานวิจัยการปรับปรุงพันธุ์ยาง เพื่อแนะนำพันธุ์ยางที่ให้ผลผลิตน้ำยางสูงเป็นหลักตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมา แต่เนื่องจากปัจจุบันไม้ยางพารามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไม้ ของประเทศ ทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนจากผลผลิตเนื้อไม้เพิ่มขึ้น ดังนั้นคำแนะนำพันธุ์ยางปี 2546 สถาบันวิจัยยางจึงได้เปลี่ยนแปลงคำแนะนำจากเดิม โดยแบ่งพันธุ์ยางแนะนำเป็น 3 กลุ่ม คือ พันธุ์ยางที่ให้ผลผลิตน้ำยางสูง พันธุ์ยางที่ให้ผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้สูง และพันธุ์ยางที่ให้ผลผลิตเนื้อ ไม้สูง เพื่อให้เกษตรกรเลือกพันธุ์ได้ตามวัตถุประสงค์ของการปลูก
พันธุ์ยางที่แนะนำให้ปลูก แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามวัตถุประสงค์ของการปลูก ดังนี้
กลุ่ม 1พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางสูง เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตน้ำยางสูงเป็นหลัก การเลือกปลูกพันธุ์ยางใน กลุ่มนี้
ควรมุ่งเน้นผลผลิตน้ำยาง
กลุ่ม 2พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้สูง เป็นพันธุ์ที่ให้ทั้งผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้ โดยให้ ผลผลิต
น้ำยางสูงและมีการเจริญเติบโตดี ลักษณะลำต้นตรง ให้ปริมาตรเนื้อไม้ในส่วนลำต้น สูง
กลุ่ม 3พันธุ์ยางผลผลิตเนื้อไม้สูง เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตเนื้อไม้สูงเป็นหลัก มีการเจริญเติบโตดีมาก ลักษณะลำต้นตรง ให้ปริมาตรเนื้อไม้ในส่วนลำต้นสูงมาก ผลผลิตน้ำยางจะอยู่ในระดับต่ำกว่าพันธุ์ยางใน
กลุ่มที่ 1 และ 2 เหมาะสำหรับเป็นพันธุ์ที่จะปลูกเป็นสวนป่าเพื่อการผลิตเนื้อไม้


พันธุ์ยางในแต่ละกลุ่มที่แนะนำ จะแบ่งเป็น 2 ชั้น ตามรายละเอียดของข้อมูล ดังนี้
พันธุ์ยางชั้น 1 1แนะนำให้ปลูกโดยไม่จำกัดเนื้อที่ปลูก พันธุ์ยางในชั้นนี้ได้ผ่านการทดลองและศึกษา ลักษณะต่าง ๆ
อย่างละเอียด
พันธุ์ยางชั้น 2 2แนะนำให้ปลูกโดยจำกัดเนื้อที่ปลูก ปลูกได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของเนื้อที่ปลูกยางที่ถือ ครอง แต่ละพันธุ์ควรปลูกไม่น้อยกว่า 7 ไร่ พันธุ์ยางชั้นนี้อยู่ในระหว่างการศึกษา ลักษณะบางประการเพิ่มเติม เกษตรกรที่มีความประสงค์จะเลือกปลูกพันธุ์ยางชั้นนี้ ควรรับคำแนะนำจากสถาบันวิจัยยาง
พันธุ์ยางที่แนะนำให้ปลูก
พันธุ์ยางชั้น 1สถาบันวิจัยยาง 251สถาบันวิจัยยาง 226BPM 24
RRIM 600
พันธุ์ยางชั้น 2สถาบันวิจัยยาง 209สถาบันวิจัยยาง 214สถาบันวิจัยยาง 218
สถาบันวิจัยยาง 225สถาบันวิจัยยาง 250สถาบันวิจัยยาง 319
สถาบันวิจัยยาง 405สถาบันวิจัยยาง 406RRIC 100
RRIC 101PR 302PR 305
Haiken 2

กลุ่ม 2 : พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้สูง
พันธุ์ยางชั้น 1PB 235PB 255PB 260
PRIC 110
พันธุ์ยางชั้น 2สถาบันวิจัยยาง 312สถาบันวิจัยยาง 325สถาบันวิจัยยาง 404
สถาบันวิจัยยาง 407สถาบันวิจัยยาง 409RRIC 121
กลุ่ม 3 : พันธุ์ยางผลผลิตเนื้อไม้สูง
พันธุ์ยางชั้น 1ฉะเชิงเทรา 50AVROS 2037BPM 1
พันธุ์ยางชั้น 2สถาบันวิจัยยาง 401สถาบันวิจัยยาง 403RRII118
รายละเอียดพันธุ์ยางที่แนะนำ  กลุ่ม 1 : พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางสูง สถาบันวิจัยยาง 251 (RRIT 251)สถาบันวิจัยยาง 226
แม่ – พ่อพันธุ์
PB 5/51 x RRIM 600
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมปลายใบ สีเขียว ฉัตรใบลักษณะเป็นรูปกรวย มีขนาดเล็ก ลักษณะลำต้นตรง กิ่งมีขนาดปานกลาง และแตกกิ่งเล็กจำนวนมาก ทรงพุ่มมีขนาดปานกลาง เป็นรูปพัด เริ่มผลัดใบเร็ว
ลักษณะทางการเกษตรระยะก่อนและระหว่างกรีดเจริญเติบโตปานกลาง ความสม่ำเสมอของขนาด ลำต้นทั้งแปลงปานกลาง เปลือกเดิมบาง เปลือกงอกใหม่หนาปานกลาง ผลผลิตเนื้อยาง 8 ปีกรีดเฉลี่ย 346 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ร้อยละ 37 มีจำนวนต้นเปลือกแห้งน้อย ต้านทานโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟ ทอปโทราและโรคเส้นดำระดับดี ต้านทานโรคใบจุดนูนและโรคราสีชมพู ระดับปานกลาง ค่อนข้างอ่อนแอต่อโรคราแป้งและต้านทานลมระดับปาน กลาง
ลักษณะดีเด่นผลผลิตเนื้อยางสูง ต้านทานโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา และโรค เส้นดำระดับดี มีจำนวนต้นเปลือกแห้งน้อย
ข้อจำกัด/ข้อควรระวังค่อนข้างอ่อนแอต่อโรคราแป้ง
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป และสามารถปลูกได้ใน พื้นที่ที่มีหน้าดินตื้น พื้นที่ที่มี ระดับน้ำใต้ดินสูง
    BPM 24
แม่ – พ่อพันธุ์
GT 1 x AVROS 1734
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมกลางใบ สีเขียว ฉัตรใบลักษณะเป็นรูปกรวยตัด ลักษณะลำต้นตรง แตกกิ่งมาก กิ่งมีขนาดปานกลาง มีการทิ้งกิ่งน้อย พุ่มใบค่อนข้างทึบ ทรงพุ่มมีขนาดปานกลางเป็นรูปกรวย เริ่มผลัดใบเร็วและทยอยผลัดใบ
ลักษณะทางการเกษตรระยะก่อนและระหว่างกรีดเจริญเติบโตปานกลาง ความสม่ำเสมอของลำต้น ทั้งแปลงปานกลาง เปลือกเดิมหนามาก เปลือกงอกใหม่หนาปานกลาง เปลือกเรียบและกรีดง่าย ผลผลิตเนื้อยางแห้ง 10 ปีกรีดเฉลี่ย 335 กิโลกรัมต่อ ไร่ต่อปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ร้อยละ 41 มีจำนวนต้นเปลือกแห้งปานกลาง ต้านทานโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทราและเส้นดำระดับดี ต้านทาน โรคราแป้ง โรคใบจุดนูน
และโรคราสีชมพูระดับปานกลาง ต้านทานลมระดับ ปานกลาง
ลักษณะดีเด่นผลผลิตเนื้อยางสูงมากในระยะแรกของการเปิดกรีด เปลือกหนา เรียบทำให้ กรีดง่าย ความต้านทานโรคส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี โดยเฉพาะโรคใบร่วงที่ เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา และโรคเส้นดำ
ข้อจำกัด/ข้อควรระวังไม่แนะนำการกรีดที่มีวันกรีดติดต่อกัน เพราะจะทำให้ผลผลิตลดลงและต้น ยางแสดงอาการเปลือกแห้งได้ง่าย ในระยะยางอ่อนจะแตกกิ่งเล็กๆ จำนวน มาก ลำต้นและกิ่งจะมีรอยแตกน้ำยางไหล และลักษณะนี้จะปรากฏมากขึ้น เมื่อปลูกในสภาพพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำและมีปริมาณฝนน้อย
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงของโรค ใบร่วงไฟทอปโทราและโรคเส้นดำ และสามารถปลูกได้ใน พื้นที่ลาดชัน พื้นที่ที่มีหน้าดินตื้น พื้นที่ที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง
RRIM 600
แม่ – พ่อพันธุ์
Tjir 1 x PB 86
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมปลายใบ สีเขียวอมเหลือง ลักษณะฉัตรใบเป็นรูปกรวย มี ขนาดเล็ก ในระยะ 2 ปีแรกต้นยางจะมีลักษณะลำต้นตรง แต่เรียวเล็ก การ แตกกิ่งช้า ลักษณะการแตกกิ่งเป็นมุมแหลม กิ่งที่แตกค่อนข้างยาว ทรงพุ่มมี ขนาดปานกลางเป็นรูปพัด เริ่มผลัดใบเร็ว
ลักษณะทางการเกษตรในระยะก่อนเปิดกรีดและระหว่างกรีดการเจริญเติบโตปานกลาง เปลือกเดิม บาง เปลือกงอกใหม่หนาปานกลาง ผลผลิตระยะแรกอยู่ในระดับปานกลาง แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปีต่อมา ให้ผลผลิตเนื้อยาง 10 ปีกรีดเฉลี่ย 289 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี อ่อนแอมากต่อโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทราและ โรคเส้นดำ ต้านทานโรคราแป้งและโรคใบจุดนูนระดับปานกลาง อ่อนแอต่อ โรคราสีชมพู ต้านทานลมระดับปานกลาง
ลักษณะดีเด่นการปรับตัวและให้ผลผลิตได้ดีในเกือบทุกพื้นที่ ทนทานต่อการกรีดถี่ได้ มากกว่าพันธุ์อื่น ๆ และมีจำนวนต้นแสดงอาการเปลือกแห้งน้อย
ข้อจำกัด/ข้อควรระวังอ่อนแอมากต่อโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา โรคเส้นดำ และอ่อนแอ ต่อโรคราสีชมพู เปลือกเดิมบาง
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป ยกเว้นในพื้นที่ที่มีโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโท รา เส้นดำ และโรคราสีชมพูระบาดรุนแรง พื้นที่ที่มีหน้าดินตื้น และพื้นที่ที่มี ระดับน้ำใต้ดินสูง
กลุ่ม 2 : พันธุ์ยางผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้สูง  PB 235
แม่ – พ่อพันธุ์
PB5/51 x PB S/78
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมกลางใบ สีเขียว ฉัตรใบลักษณะเป็นรูปกรวย ระยะยางอ่อน แตกกิ่งเร็ว พุ่มใบค่อนข้างทึบ ลักษณะลำต้นตรงดี กิ่งมีขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่ออายุมากทิ้งกิ่งมาก เหลือกิ่งขนาดกลาง 4 – 5 กิ่งในระดับสูง ทำให้พุ่มใบ บาง ทรงพุ่มมีขนาดใหญ่เป็นรูปกลม เริ่มผลัดใบช้าและทยอยผลัดใบ
ลักษณะทางการเกษตรในระยะก่อนเปิดกรีดการเจริญเติบโตดีในทุกพื้นที่ และระหว่างกรีดการ เจริญเติบโตปานกลาง เปลือกเดิมหนาปานกลาง เปลือกงอกใหม่บางผลผลิต เนื้อยาง 10 ปีกรีดเฉลี่ย 330 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ร้อย ละ 37 ในช่วงอายุ 15 ปี และ 20 ปี ให้ผลผลิตเนื้อไม้ส่วนลำต้น 0.30 ลูกบาศก์ เมตรต่อต้น และ 0.41 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น คิดเป็น 6.75 22.34 และ 28.09 ลูกบาศก็เมตรต่อไร่ตามลำดับ มีจำนวนต้นเปลือกแห้งค่อนข้างมาก ต้านทาน โรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทราและโรคเส้นดำระดับปานกลาง อ่อนแอ มากต่อโรคราแป้งและโรคใบจุดนูน ต้านทานโรคราสีชมพูระดับดี และ ต้านทานลมระดับปานกลาง
ลักษณะดีเด่นให้ผลผลิตน้ำยางและเนื้อไม้สูง การเจริญเติบโตดีมากในทุกพื้นที่ และ ต้านทานต่อโรคราสีชมพูระดับดี
ข้อจำกัด/ข้อควรระวังอ่อนแอมากต่อโรคราแป้ง และ โรคใบจุดนูน ไม่แนะนำการกรีดที่มีวันกรีด ติดต่อกัน เพราะจะทำให้ผลผลิตลดลงและต้นยางแสดงอาการเปลือกแห้งได้ ง่าย
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป ยกเว้นในพื้นที่ลาดชัน พื้นที่ที่มีหน้าดินตื้น และพื้นที่ ที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง
PB 255
แม่ – พ่อพันธุ์
PB 5/51 x PB 32/36
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมกลางใบ สีเขียวอ่อน ฉัตรใบลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม ลักษณะลำต้นตรง ระยะยางอ่อนแตกกิ่งเร็ว กิ่งมีขนาดเล็กจำนวนมาก พุ่มใบ ทึบ ทรงพุ่มมีขนาดใหญ่เป็นรูปกลม เริ่มผลัดใบค่อนข้างช้า
ลักษณะทางการเกษตรในระยะก่อนเปิดกรีดการเจริญเติบโตดี และระหว่างกรีดการเจริญเติบโตปาน กลาง เปลือกเดิมและเปลือกงอกใหม่หนา ผลผลิตเนื้อยาง 10 ปีกรีดเฉลี่ย 318 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ร้อยละ 46 ในช่วงอายุ 15 ปี และ 20 ปี ให้ผลผลิตเนื้อไม้ส่วนลำต้น 0.28 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น และ 0.39 ลูกบาศก็เมตรต่อต้น คิดเป็น 6.26 21.57 และ 27.24 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ตามลำดับ มีจำนวนต้นเปลือกแห้งปานกลาง อ่อนแอต่อโรคใบร่วงที่เกิดจาก เชื้อไฟทอปโทรา โรคใบจุดนูน และโรคราสีชมพู ต้านทานโรคราแป้ง และ โรคเส้นดำระดับปานกลาง ต้านทานลมระดับค่อนข้างดี
ลักษณะดีเด่นผลผลิตเนื้อยางและเนื้อไม้สูง เปลือกหนานิ่มกรีดง่าย และต้านทานลม ค่อนข้างดี
ข้อจำกัด/ข้อควรระวังอ่อนแอต่อโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา โรคใบจุดนูน และโรคราสี ชมพู ไม่แนะนำการกรีดที่มีวันกรีดติดต่อกัน เพราะจะทำให้ผลผลิตลดลง และต้นยางแสดงอาการเปลือกแห้งได้ง่าย
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป ทั้งในพื้นที่ลาดชัน พื้นที่ที่มีหน้าดินตื้น และพื้นที่ที่มี ระดับน้ำใต้ดินสูง ยกเว้นพื้นที่ที่มีโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา ใบ จุดนูน และโรคราสีชมพู ระบาดรุนแรง
PB 260
แม่ – พ่อพันธุ์
PB 5/51 x PB 49
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมปลายใบ สีเขียวเข้ม ฉัตรใบลักษณะเป็นรูปกรวย ลักษณะลำต้นตรง การแตกกิ่งสมดุลยดี กิ่งมีขนาดเล็กจำนวนมาก พุ่มใบทึบ อายุมากทิ้ง กิ่งด้านล่าง ทำให้พุ่มใบค่อนข้างบาง ทรงพุ่มมีขนาดใหญ่เป็นรูปรี เริ่มผลัดใบ ค่อนข้างช้า
ลักษณะทางการเกษตรในระยะก่อนเปิดกรีดการเจริญเติบโตดี และระหว่างกรีดการเจริญเติบโตปาน กลาง เปลือกเดิมหนาปานกลาง เปลือกงอกใหม่บาง ผลผลิตเนื้อยาง 10 ปีกรีด เฉลี่ย 322 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ร้อยละ 32 ในช่วงอายุ 15 ปี และ 20 ปี ให้ผลผลิตเนื้อไม้ส่วนลำต้น 0.26 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น และ 0.36 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น คิดเป็น 19.90 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น และ 25.53 ลูกบาศก็เมตรต่อไร่ตามลำดับ มีจำนวนต้นเปลือกแห้งปานกลาง ต้านทาน โรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา โรคราแป้ง โรคใบจุดนูน และโรคเส้น ดำในระดับปานกลาง ต้านทานดีต่อโรคราสีชมพู ต้านทานต่อลมในระดับ ค่อนข้างดี
ลักษณะดีเด่นผลผลิตเนื้อยางและเนื้อไม้สูง ต้านทานดีต่อโรคราสีชมพู และต้านทานลม ค่อนข้างดี
ข้อจำกัด/ข้อควรระวังไม่แนะนำการกรีดที่มีวันกรีดติดต่อกัน เพราะจะทำให้ต้นยางแสดงอาการ เปลือกแห้งได้ง่าย
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป
RRIC 110
แม่ – พ่อพันธุ์
LCB1320 X RRIC 7
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมปลายใบ สีเขียวเข้ม ฉัตรใบลักษณะเป็นรูปกรวย ลักษณะลำต้นตรง ในช่วงยางอ่อนแตกกิ่งขนาดกลางและเล็กจำนวนมาก พุ่มใบทึบ อายุ มากทิ้งกิ่งด้านล่าง เหลือกิ่งขนาดใหญ่ 2 – 3 กิ่ง ทำให้พุ่มใบค่อนข้างบาง ทรง พุ่มมีขนาดใหญ่เป็นรูปพัด เริ่มผลัดใบช้า
ลักษณะทางการเกษตรในระยะก่อนเปิดกรีดการเจริญเติบโตดีมาก และระหว่างกรีดการเจริญเติบโต ปานกลาง เปลือกเดิมหนาและเปลือกงอกใหม่บาง ผลผลิตเนื้อยาง 10 ปีกรีด เฉลี่ย 324 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี สูงกว่าพันธุ์ RRIM 600 ร้อยละ 27 ในช่วงอายุ 15 ปี และ 20 ปี ให้ผลผลิตเนื้อไม้ส่วนลำต้น 0.29 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น และ 0.40 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น คิดเป็น 21.86 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่และ 27.55 ลูกบาศก็เมตรต่อไร่ตามลำดับ มีจำนวนต้นเปลือกแห้งปานกลาง ต้านทาน โรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทราระดับดี ต้านทานต่อโรคราแป้ง โรคใบ จุดนูน โรคเส้นดำ และโรคราสีชมพูในระดับปานกลาง ต้านทานลมในระดับ ปานกลาง
ลักษณะดีเด่นผลผลิตเนื้อยางและเนื้อไม้สูง การเจริญเติบโตดีมากในระยะก่อนเปิดกรีดต้น ยางทำให้เปิดกรีดได้เร็ว ต้านทานโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทราระดับ ดี
ข้อจำกัด/ข้อควรระวังเปลือกบาง และน้ำยางเมื่อนำไปทำเป็นยางแผ่นดิบสีค่อนข้างคล้ำ
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป ยกเว้นในพื้นที่ลาดชัน พื้นที่ที่มีหน้าดินตื้น พื้นที่ที่มี ระดับน้ำใต้ดินสูง และพื้นที่ลมแรง
กลุ่ม 3 : พันธุ์ยางผลผลิตเนื้อไม้สูง ฉะเชิงเทรา 50
แม่ – พ่อพันธุ์
RRIC 110 ill.
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมปลายใบ สีเขียวเข้ม ฉัตรใบลักษณะเป็นรูปกรวย ในช่วงยาง อ่อนแตกกิ่งขนาดกลางและเล็กจำนวนมาก การแตกกิ่งอยู่ในระดับสูง ลักษณะการแตกกิ่งสมดุล รูปทรงลำต้นตรง มีลักษณะกลม ทรงพุ่มขนาด ค่อนข้างใหญ่ เริ่มผลัดใบเร็ว
ลักษณะทางการเกษตรการเจริญเติบโตดีมาก ในช่วงอายุ 6 ปี มีปริมาตรไม้ในส่วนท่อนซุง 0.11 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น คิดเป็น 7.76 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ต้านทานโรคใบร่วงที่ เกิดจากเชื้อไฟทอปโทราและโรคราแป้งระดับปานกลาง ต้านทานโรคใบจุด นูนระดับดี
ลักษณะดีเด่นผลผลิตเนื้อไม้สูง ต้านทานโรคใบจุดนูนระดับดี
ข้อจำกัด/ข้อควรระวัง-
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป
BPM 1
แม่ – พ่อพันธุ์
AVROS 163 x AVROS 308
ลักษณะประจำพันธุ์ใบมีรูปร่างป้อมกลางใบ สีเขียวเข้ม ฉัตรใบลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม ในช่วงยางอ่อนแตกกิ่งระดับต่ำ การแตกกิ่งสมดุลย กิ่งมีขนาดเล็กจำนวนมาก ทรงพุ่มเป็นรูปกรวย พุ่มใบทึบ เมื่ออายุมากทิ้งกิ่งเหลือกิ่งขนาดใหญ่ 3 – 5 กิ่ง ในระดับสูง ทำให้ทรงพุ่มโปร่ง รูปทรงลำต้นตรง มีลักษณะกลม เริ่มผลัดใบ เร็ว
ลักษณะทางการเกษตรการเจริญเติบโตดีมาก ในช่วงอายุ 6 ปี 15 ปี และ 20 ปี ให้ผลผลิตเนื้อไม้ส่วน ลำต้น 0.10 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น 0.31 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น และ 0.43 ลูกบาศก์เมตรต่อต้น คิดเป็น 7.12 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ 22.91 ลูกบาศก์ต่อไร่ และ 28.73 ลูกบาศก็เมตรต่อไร่ตามลำดับ ต้านทานโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อ ไฟทอปโทราระดับดี ต้านทานต่อโรคราแป้ง โรคใบจุดนูน และโรคราสีชมพู ระดับปานกลาง และต้านทานลมในระดับค่อนข้างดี
ลักษณะดีเด่นการเจริญเติบโตดีมาก ต้านทานโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทราระดับดี และต้านทานลมในระดับค่อนข้างดี
ข้อจำกัด/ข้อควรระวัง-
พื้นที่แนะนำปลูกได้ในพื้นที่ทั่วไป ยกเว้นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ
         สำหรับชาวเกษตรการที่กำลังมีแผนจะทำสวนยางพารา ก็ขอแนะนำเลยนะครับว่าขอให้เลือกพันธุ์ที่เหมาะกับพื้นที่จริง เพราะการปลูกยางแต่ละครั้งกว่าจะได้กรีดก็ใช้เวลานาน มารู้ทีหลังว่าพันธุ์ยางพาราที่ปลูกไม่ให้น้ำยาง เพราะสภาพพื้นที่
ไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดความเสียหายได้ครับ โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกยางใหม่อย่างพื้นที่ภาคอีสาน อันนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ค่อยๆศึกษาอย่างละเอียด และที่สำคัญต้องเอาใจใส่ดูแลกันพอสมควรนะครับ

แหล่งที่มา : http://www.farmthailand.com/183