
1. สภาพปัญหา
สินค้าเกษตรมีลักษณะธรรมชาติพื้นฐานเหมือนกัน คือ
มีฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผลผลิตจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ
ปริมาณน้ำฝน รวมทั้งมีระยะเวลาในการผลิต
และลักษณะการถือครองที่ดินซึ่งส่วนมากเป็นเกษตรกรรายย่อย
ทำให้สินค้าเกษตรมีลักษณะข้อจำกัดพื้นฐานซึ่งคล้ายกัน ได้แก่
1) การวางแผนด้านตลาดมีข้อจำกัด
เนื่องจากการผลิตสินค้าเกษตรต้องใช้ระยะเวลา
ขณะที่ความต้องการหรือสถานการณ์ด้านตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
และรวดเร็วกว่า
2) ผลิตผลทางการเกษตรมีอำนาจต่อรองด้านราคาต่ำ
ด้วยสินค้าเกษตรแต่ละชนิด มีช่วงเวลาที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกัน
และส่วนใหญ่เก็บไว้ได้ไม่นาน เป็นช่องทางให้อำนาจต่อรองด้านราคาลดน้อยลง
3)
การวางแผนกำหนดพื้นที่โดยรวมของประเทศเพื่อควบคุมปริมาณผลผลิตเป็นไปได้ยาก
เนื่องจากลักษณะการถือครองที่ดินของเกษตรกรซึ่งส่วนมากเป็นสวนยางขนาดเล็ก
และมีอิสระในการใช้ประโยชน์จากการถือครองที่ดินการพัฒนายางพาราที่ผ่านมารัฐ
ส่งเสริมให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตโดยรวม
เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลก
แต่อย่างไรก็ตาม
การทำสวนยางพาราและอุตสาหกรรมยางพาราต้องประสบกับปัญหาด้านต่างๆ ได้แก่
1.1 ปัญหาด้านการผลิต
การผลิตยางของเกษตรกรไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
การทำสวนยางพาราที่ผ่านมารัฐส่งเสริมให้เกษตรกรทำการผลิตเป็นวัตถุดิบเพื่อ
ป้อนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น
และยางที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เป็นยางแผ่นดิบ
ขณะที่การขยายตัวของอุตสาหกรรมยางแผ่นดิบลดลง
ประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ
รวมทั้งผลผลิตด้อยคุณภาพ เนื่องจากชาวสวนยางพาราส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย
ทำให้ขาดการบริหารจัดการและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินการ
ส่งผลให้ผลผลิตยางมีคุณภาพต่ำและไม่สม่ำเสมอ
1.2 ปัญหาด้านตลาด
1.2.1 ตลาดภายในประเทศ
1.ตลาด
ท้องถิ่นมีผู้ขายเป็นเกษตรกรจำนวนมาก ขณะที่ผู้ซื้อคือ
พ่อค้าคนกลางมีจำนวนน้อยรายและมีหลายขั้นตอน
ส่งผลให้ราคาที่เกษตรกรขายได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
2.ตลาด
กลางยางพาราของไทย ที่
อ.หาดใหญ่เป็นเพียงตลาดซื้อขายยางแผ่นดิบโดยวิธีประมูล
และห้องค้ายางซึ่งมีการซื้อขายยางเฉพาะสมาชิกของและเจ้าของสวนยางรายใหญ่
เท่านั้น เนื่องจากมียางจำนวนมากและมีรถบรรทุกเป็นของตนเอง
ตลาดกลางยางพาราจึงไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่และไม่เป็นระบบที่เชื่อมโยงกับตลาด
กลางในแต่ละจังหวัด
3.ขาดระบบข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตลาดกลาง
ตลาดท้องถิ่นและตลาดประมูลท้องถิ่น
ทำให้เกษตรไม่ได้รับข้อมูลด้านราคาและสถานการณ์ซื้อขาย
จึงถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง
1.2.2 ตลาดต่างประเทศ
1.เป็นตลาดของผู้ซื้อ
เนื่องจากปัจจุบันตลาดต่างประเทศ การซื้อขายส่วนใหญ่ร้อยละ 80
เป็นการซื้อขายตรง โดยประเทศรับซื้อมีเพียง 4 – 5 ประเทศ
ส่งผลให้ประเทศผู้ซื้อมีบทบาทในการกำหนดราคายางไทย
2.การส่งออกยางพาราไปต่างประเทศ
มียางพาราจำนวนหนึ่งส่งออกผ่านท่าเรือกรุงเทพฯ
ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง
1.3 ปัญหาด้านอุตสาหกรรม
1)
อุตสาหกรรมยางพาราของไทยเติบโตเฉพาะในรูปวัตถุดิบขั้นต้นเพื่อการส่งออก
เนื่องจากผลผลิตยางธรรมชาติที่ผ่านมา
เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณร้อยละ 90 ที่เหลือร้อยละ 10
ใช้ภายในประเทศ และผลผลิตส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 70 เป็นยางแผ่นรมควัน
ขณะที่การใช้ยางแผ่นรมควันของโลกเริ่มอิ่มตัวและลดลง
2)
การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งส่วนมาก
เป็นการลงทุนร่วมระหว่างประเทศ
สวนทางกับการเจริญเติบโตของเกษตรกรและองค์กรชาวสวนยาง
ที่จะนำไปสู่การพัฒนาในรูปอุตสาหกรรมชุมชน
3)
เทคโนโลยีส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขณะที่งาน
วิจัย ส่งเสริมและพัฒนาของภาครัฐ ยังขาดการประสานให้ไปในทิศทางเดียวกัน
2. แนวทางการพัฒนายางพาราไทย
การที่สินค้าเกษตรมีข้อจำกัดเป็นลักษณะเฉพาะที่สำคัญคล้ายๆ กัน
ทำให้การใช้นโยบายของรัฐที่ผ่านมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรหรือคนจนไม่มี
ประสิทธิภาพเท่าที่ควร
เพราะผลของนโยบายมักจะตกแก่ผู้ทำธุรกิจทางการเกษตรและเกษตรกรผู้มีฐานะดี
กว่า
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาต้องเน้นกระบวนการพัฒนาที่ก่อให้เกิด
ความมั่นคงและพึ่งตนเองได้แก่
เกษตรกร ซึ่งต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม
ในรูปแบบการเกษตรที่มีความหลากหลาย
รวมถึงการให้ประชาชนและชุมชนมีบทบาทในด้านการตลาดและอุตสาหกรรม
ควบคู่กับการดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐในการส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยี
การผลิต การแปรรูป ปัจจัยการผลิต ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
และการจัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรที่มีข้อมูลเชื่อมโยงเป็นระบบเครือข่าย
มาตรการในการแก้ไขปัญหายางพารา
จึงต้องพิจารณาถึงกลุ่มกิจกรรมหลักที่สำคัญ คือ
กลุ่มผลิตหรือกลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้แปรรูปหรืออุตสาหกรรม
โดยมีมาตรการที่สำคัญ ดังนี้
2.1 มาตรการด้านการผลิต
2.1.1
ส่งเสริมให้ชาวสวนยางรายย่อยปรับเปลี่ยนสวนยางพารา
ที่พึ่งพาพืชเศรษฐกิจชนิดเดียวไปสู่ระบบการเกษตรกรรมที่หลากหลายทางชีวภาพ
และพันธุกรรมพืชในรูปแบบที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์โดยธรรมชาติ ซึ่งจะลดต้นทุนในด้านการบำรุงรักษา
ลดความเสี่ยงจากผลผลิตชนิดเดียว
แต่กลับเพิ่มพูนอาหารเพื่อการบริโภคในครัวเรือนและท้องถิ่นที่เน้นความ
สมบูรณ์ในตัวเองโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพและ
ยั่งยืน โดยมีรูปแบบต่างๆ ได้แก่
1) ระบบเกษตรผสมผสาน
เป็นรูปแบบของการทำการเกษตร ซึ่งมีหลาย ๆ กิจกรรมในพื้นที่เดียวกัน
แต่ละกิจกรรมมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันในลักษณะเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่าง
เป็นระบบ โดยไม่เกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อม
ซึ่งอาจจะเป็นการผสมผสานระหว่างพืชกับพืช พืชกับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์
เกษตรกรจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจและการวางแผนที่ดี จึงประสบความสำเร็จ
2) ระบบการปลูกพืชต่างระดับ
เป็นรูปแบบการปลูกพืชที่เลียนแบบความหลากหลายของพืชพรรณในป่า
มีการปลูกพืชร่วมกันอย่างผสมผสานกลมกลืนตามระดับความสูงของเรือนยอด
ซึ่งสัมพันธ์กับความต้องการความเข้มของแสงที่แตกต่างกันในพืชแต่ละชนิด
นอกจากนั้นการปลูกพืชต่างระดับ
ยังพิจารณาถึงระดับความลึกของรากพืชแต่ละชนิดที่นำมาปลูกร่วมกัน
สามารถดึงเอาธาตุอาหารและความชื้นของดินในความลึกของดินที่ระดับต่าง ๆ
มาใช้ประโยชน์ในระบบการปลูกพืชอย่างมีประสิทธิภาพ
2.1.2 ส่งเสริมให้ชาวสวนยางขนาดกลางและขนาดใหญ่การปลูกพืชร่วมยางและยางพาราเชิงเดี่ยว
เป็นการปรับแบ่งพื้นที่เพื่อการปลูกยางพารา ไม้ผล
พืชผักที่เป็นอาหารและสมุนไพร โดยจัดแบ่งเป็นเขตต่างๆ ได้แก่
เขตพื้นที่ปลูกยางพาราร่วมกับไม้ผล ไม้ใช้สอยและพืชผักสมุนไพร
และเขตที่มียางพาราอย่างเดียว เพื่อคงไว้ซึ่งผลผลิตและไม้ยางพารา
พืชร่วมยางที่มีความเป็นไปได้ในภาคใต้มี 5 ประเภท ได้แก่
1.ไม้ผล มี สะตอ จำปาดะ ละไม ลองกอง ระกำ หมาก มังคุด ลางสาด สละและนุ่น
2.ไม้ใช้สอย มี เทียม (สะเดาช้าง) ทัง ไม้ไผ่ ยาง ยูง หลุมพอ พะยอมตะเคียน
3.ผักพื้นบ้าน มี เหมียงหรือผักเหรียง ผักวาน มันปู ผักภูมิ เปราะ พาโหมเนียง
4.สมุนไพร มี กระวาน ดีปลี ข่า พริกไทย ขมิ้นฤาษี สมุนไพรยืนต้นทุกชนิด
5.ไม้ดอกไม้ประดับ มีกาหลาหรือดาหลา หน้าวัว ขิงแดง กล้วยไม้ เฟิร์น หม้อข้าวหม้อแกงลิง
2.1.3 ถ่ายทอดเทคโนโลยีและสนับสนุนปัจจัยการผลิต เป็นการ
พัฒนาเฉพาะด้านยางพารา
โดยดำเนินการค้นคว้าวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งพันธุ์ที่ดี
เทคโนโลยีที่เหมาะสมทั้งทางด้านการเพาะปลูกและวิธีการเก็บเกี่ยว
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพของผลผลิต
และการปรับเปลี่ยนบทบาทสำนักงานสงเคราะห์การทำสวนยาง
เป็นการส่งเสริมสนับสนุนการทำเกษตรแบบผสมผสาน
รวมทั้งมีการจัดเตรียมพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์
ที่เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญเบื้องต้นแก่เกษตรกร
2.1.4 สนับสนุนให้ชาวสวนยาง และองค์กรชาวสวนยางรวมกลุ่ม และสร้างเครือข่ายพลังความคิด
เพื่อกำหนดบทบาทในการบริหารจัดการ ในกิจกรรมการผลิตที่สำคัญ อาทิ
การปรับพื้นที่เพื่อการผลิต รูปแบบการผลิต
และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
2.2 มาตรการด้านตลาด
2.2.1 พัฒนาตลาดกลางยางพาราเพื่อการส่งออก จัด
ตั้งและพัฒนาตลาดกลางในแหล่งที่สำคัญให้ทั่วถึง
เพื่อเป็นตัวกลางในการซื้อขายในปัจจุบันและการซื้อขายล่วงหน้า
มีกฎระเบียบควบคุมการซื้อขาย ป้องกันการผูกขาดตัดตอน อาทิ
การเปิดกว้างให้เกษตรกรขายผลผลิตซึ่งเป็นการประมูลโดยตรงกับผู้รับซื้อ
ขณะที่ตลาดกลางให้บริการด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
2.2.2 การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร
ตลาดกลางนอกจากจะมีหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายแล้ว
ยังทำหน้าที่บริการข้อมูลด้านต่าง ๆ แก่ลูกค้า อาทิ ข้อมูลด้านราคา
และข้อมูลสถานการณ์ซื้อขายที่ถูกต้องและทันสมัย
ซึ่งเป็นระบบข้อมูลที่มีความเชื่อมโยงระหว่างตลาดกลางและตลาดท้องถิ่น
2.2.3 พัฒนาตลาดท้องถิ่น
มีการขยายตลาดท้องถิ่นให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
มีระบบการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารกับตลาดกลาง
และมีกฎระเบียบควบคุมการซื้อขายที่เปิดกว้างเป็นธรรมทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
2.3 มาตรการด้านอุตสาหกรรม
2.3.1 สนับสนุนให้อุตสาหกรรมยางพาราเป็นของชุมชน
กระบวนการเริ่มต้นด้วยการให้ชาวสวนยาง และองค์กรชาวสวนยางรวมกลุ่ม
และสร้างเครือข่ายเพื่อดำเนินการในด้านการผลิต แปรรูป และการตลาด
ซึ่งจะเป็นการรักษาผลประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มของผลผลิตให้ตกอยู่กับเกษตรกร
2.3.2 ภาครัฐให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการแปรรูป ทั้งผลิตภัณฑ์จากน้ำยางและไม้ยางพารา
พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบและคุณภาพตรงกับความต้องการทั้งตลาดภายในและต่าง
ประเทศ ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ยางพาราจากต่างประเทศ และส่งเสริมการส่งออก
รวมทั้งการให้มูลข่าวสารช่องทางการตลาด การลงทุน
และการติดต่อเพื่อเร่งหาตลาดใหม่ในต่างประเทศ